คำศัพท์และคำอธิบาย
เอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus)
เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านเลือดและมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ส่วนเอดส์ (Acquired Immune Deficiency) นั้นพบน้อยลงเรื่อยๆ โดยเป็นชื่อของกลุ่มอาการติดเชื้อ ที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเสียหายอย่างหนัก เพราะไม่ได้รับการรักษาที่ได้ผล
HIV ≠ AIDS และผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ
เอชไอวีติดต่อได้อย่างไร
เชื้อเอชไอวีสามารถถ่ายทอดผ่านน้ำอสุจิ และการสัมผัสทางเลือดกับเลือดของผู้มีเชื้อไวรัสเอชไอวีอยู่ในร่างกายจำนวนมาก
กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:
– มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
– มีเพศสัมพันธ์เวลานาน (เยื่อบุทวารหนักหรือช่องคลอดเสี่ยงต่อการฉีกขาดมากขึ้น)
– มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้สารหล่อลื่น (เสี่ยงมากขึ้นต่อเยื่อบุทวารหนักฉีกขาด)
– การใช้เข็มและกระบอกฉีดยาร่วมกัน (มีอัตราต่ำในกรุงเทพ)
ที่จริงแล้ว การถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีนั้นยากกว่าที่คิด เพราะต้องมีครบสี่ปัจจัยจึงจะเกิดการถ่ายทอดเชื้อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนได้
– Exist (มีเชื้อ) คือ คุณหรือหนึ่งในคู่นอนมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย
– Enough (มากพอ) จำเป็นต้องมีเชื้ออยู่ในร่างกายจำนวนมาก (ไม่ได้รับการรักษาอยู่)
– Exit (ทางออก ) เชื้อต้องออกจากร่างกาย (เช่น ผ่านรอยแผล เลือด สารก่อนหลั่ง น้ำอสุจิ และเมือกหล่อลื่นทวารหนัก)
– Entry (ทางเข้า) เชื้อต้องเข้าสู่ร่างกายของอีกคนหนึ่ง (เช่น เซ็กส์โดยไม่ใช้ถุงยาง รอยแผล หรือ รอยถลอก เป็นต้น)
ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป เชื้อเอชไอวีก็ไม่สามารถถ่ายทอดได้
เชื้อเอชไอวีตายอย่างรวดเร็วเมื่อออกจากร่างกาย (ไม่เหมือนกับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี)
ในเมืองไทย ผู้ที่รู้ตัวว่ามีเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งได้รับการรักษา หมายความว่าเชื้อไวรัสถูกกดหรือตรวจไม่พบในเลือดแล้ว คนเหล่านี้ไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ (ถ้ามีใครถามเรื่องสถานะตรวจไม่พบ นั่นคือมีเชื้อไวรัสน้อยกว่า 20 ก็อปปี้ เค้าจะแสดงความภูมิใจให้เห็น ดังนั้นเราจึงควรยินดีกับเค้าและคู่นอนเค้าด้วย) ด้วยเหตุนี้ การติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่มาจากคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยและไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกายหรือไม่เคยตรวจเลือดมาก่อน
อาการ
คนที่ติดเชื้อบางคนอาจไม่แสดงอาการใดๆ เป็นเวลาหลายปี แต่บางคนอาจมีอาการป่วย เมื่อเปลี่ยนจากสถานะเปลี่ยนจากเลือดลบเป็นเลือดบวกสองสามสัปดาห์หลังติดเชื้อ โดยอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดต่อไปนี้
อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไข้ ผื่น เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองบวม อาเจียน และท้องเสีย อาการป่วยเมื่อสถานะเปลี่ยนนี้อาจมีความรุนแรงแตกต่างไปในแต่ละคน และมักเป็นอยู่ประมาณสองสัปดาห์ก่อนอาการจะหายไปหลังจากนั้นผู้ป่วยจะรู้สึกแข็งแรงเหมือนปกติ แต่ถ้าไม่ได้ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีและรับการรักษา สุขภาพก็จะเริ่มทรุดลงในช่วงหลายปีหลังจากนั้น โดยอาจสังเกตเห็นความผิดปกติทางผิวหนัง ทางเดินอาหาร หรือมีเชื้อราในช่องปาก เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเสียหายมากขึ้น ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดปอดบวม ติดเชื้อในสมอง และมะเร็งบางชนิด แต่ควรรู้ว่า อาการเหล่านี้ปัจจุบันหายากมาก เพราะหลีกเลี่ยงได้ด้วยการตรวจและรักษาเป็นประจำ
การรักษา
การรักษาเอชไอวีนั้นพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และมีความสำเร็จก้าวหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกปี ปัจจุบันการรักษาทำได้ด้วยการกินยาเป็นประจำทุกวัน ซึ่งมักแค่เม็ดเดียว โดยแต่ละเม็ดมีตัวยาต้านไวรัสสามชนิดซึ่งมีกลไกควบคุมเชื้อไวรัสแตกต่างกัน
ควรพบแพทย์เป็นประจำทุกหกเดือนเพื่อตรวจร่างกายให้แน่ใจว่าทุกอย่างโอเค การรักษาเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่มีผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นหรือระยะยาวต่อผู้รับประทานยา
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาเชื้อเอชไอวีได้ที่หน้านี้
ผู้ที่ตรวจพบเชื้อเอชไอวีรายใหม่ควรเริ่มการรักษาโดยทันที PULSE Clinic สามารถเริ่มการรักษาให้ได้ในวันเดียวกับที่มาตรวจยารักษานี้จะช่วยกดเชื้อไวรัสในร่างกายจนอยู่ในระดับตรวจไม่พบ ซึ่งหมายความว่า จะมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว โดยแทบไม่มีโอกาสถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่น ขอแนะนำให้เริ่มการรักษาแต่เนิ่นๆ เพราะการศึกษา STARTแสดงให้เห็นว่ายิ่งเริ่มรักษาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผลด้านสุขภาพในระยะยาวดีขึ้นเท่านั้น
ตรวจไม่พบเชื้อ
เมื่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้รับการรักษา ที่เรียกว่า จำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกาย (ไวรัลโหลด ) จะลดลงถึงระดับตรวจไม่พบ หมายความว่า ยากดเชื้อไวรัสไม่ให้เพิ่มจำนวน ทำให้การถ่ายทอดเชื้อแทบเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือมีความเสี่ยงสูงกว่าธรรมดา นอกจากนี้ เมื่อเชื้อเอชไอวีไม่เพิ่มจำนวนก็เป็นการลดอันตรายต่อร่างกาย การศึกษาต่างๆ สนับสนุนข้อมูลนี้โดยแสดงให้เห็นว่า ผลลัพธ์เหล่านี้เป็นจริง ตราบใดที่กินยาสม่ำเสมอทุกวัน และกดเชื้อหรือตรวจไม่พบเชื้อแล้วอย่างน้อยหกเดือน
หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจไม่พบเชื้อ สามารถอ่านได้ที่หน้านี้
ลดความเสี่ยง
ผู้ชายที่ชอบมีเซ็กซ์ตื่นเต้นนับเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ของผู้พบเชื้อเอชไอวีรายใหม่ แต่การหลีกเลี่ยงการรับเชื้อนั้นทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีป้องกันดังต่อไปนี้
1. ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อที่ตรวจเชื้อไม่พบแล้วจากการรักษา มีผลการศึกษาพิสูจน์แล้วว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่น
2. พิสูจน์แล้วว่า เมื่อผู้ไม่มีเชื้อกินยา PrEP ทุกวัน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะติดเชื้อ
3. เมื่อกินยา PEPภายใน 72 ชั่วโมงหลังเสี่ยงสัมผัสเชื้อ สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
4. ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันน้ำอสุจิที่มีเชื้อเอชไอวีไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แวะมารับถุงยางอนามัยทุกไซ้ส์ได้ฟรีที่ PULSE Clinic
5. สารหล่อลื่นช่วยลดโอกาสเยื่อบุทวารหนักฉีกขาด
6. การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคนที่มีสถานะเอชไอวีเหมือนกันจะช่วยลดความเสี่ยงได้ (พึงระลึกไว้ว่าผลการตรวจล่าสุดนั้นบอกได้แม่นยำแค่สถานะจริงเมื่อสามเดือนก่อน)
7. ถ้าไม่ใช้ถุงยางอนามัย คนที่ไม่มีเชื้อควรเป็นฝ่ายรุก (ช่วยลดความเสี่ยงได้แต่ไม่มากนัก)
8. ควรมีข้อตกลงกับแฟนให้ชัด คนที่เป็นแฟนกันอาจไม่ใช้ถุงยางเมื่อมีเซ็กซ์กัน แต่ถ้ามีเซ็กซ์กับคนอื่นให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
9. การชักออกมาหลั่งข้างนอกช่วยลดความเสี่ยงได้ (แต่ไม่มากนัก เพราะสารก่อนหลั่ง และเมือกหล่อลื่นในทวารหนักอาจมีปริมาณเอชไอวีระดับเอชไอวีสูงถ้าไม่ได้อยู่ในระหว่างการรักษา)
10. ใช้เข็มและกระบอกฉีดยาสะอาดเป็นของตัวเอง ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น และเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง
รู้สถานะตัวเอง
ยิ่งมีเพศสัมพันธ์บ่อยยิ่งต้องตรวจถี่ขึ้น สำหรับคนที่ชอบเซ็กซ์ตื่นเต้นควรตรวจเอชไอวีทุกสามเดือน โดยใช้เลือดเพียงแค่เล็กน้อย และตรวจซิฟิลิสไปได้พร้อมกัน
ในเอเชีย มีบางคลินิก (รวมถึง PULSE Clinic ที่กรุงเทพ ภูเก็ต ฮ่องกง และกัวลาลัมเปอร์) ที่ให้บริการตรวจแบบเข็ม จิ้มปลายนิ้วที่ให้ผลได้รวดเร็วภายในแค่ 20 นาที และเป็นการตรวจที่มีความไว จำเพาะ และแม่นยำสูง
ฉะนั้น อย่ารอช้า!!!
เอชไอวีกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
การมีเชื้อโรคติดต่อเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส คลาไมเดีย หรือหนองในที่ทวารหนักหรือลำคอ อาจทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายขึ้น
การติดเชื้อที่ลำคอและทวารหนักส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ จะรู้ได้ด้วยการกวาดสำลีในลำคอหรือทวารหนัก ซึ่งทำได้ง่ายและไม่เจ็บ การตรวจนี้จะตรวจหาดีเอ็นเอของแบคทีเรียและไวรัสทั้งหมด การตรวจ PCR นี้เป็นวิธีตรวจที่ดีที่สุดในปัจจุบันและสามารถทำได้ทุกวันที่ PULSE Clinic
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการอักเสบในบริเวณนั้น เพิ่มความเสี่ยงต่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายและกระแสเลือด
ถ้าคุณมีเชื้อเอชไอวีและไม่รักษา การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นอาจทำให้ไวรัลโหลดสูงขึ้น ทำให้ถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่นง่ายขึ้น แต่ถ้าตรวจไม่พบเชื้อแล้วไวรัลโหลดก็ไม่น่าจะพุ่งสูงขึ้น
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยทุกครั้งที่ตรวจเลือด ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่ดีในการรักษาสุขภาพของตนเอง รวมถึงของแฟนและคู่นอนด้วย
เอชไอวีกับโรคตับอักเสบซี
ถ้ามีเลือดเอชไอวีบวก เชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะสามารถทำลายตับได้เร็วกว่าคนที่ไม่มีเอชไอวี และจะทำให้มีปริมาณเอชไอวีในเลือดและในน้ำอสุจิมากขึ้น
การติดเชื้อทั้งเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบซีร่วมกัน ไม่ได้หมายความว่ารักษาเชื้อทั้งสองพร้อมกันไม่ได้ แต่แพทย์ต้องพิจารณาว่าควรใช้ยาอะไรจึงเหมาะที่สุด โดยอาจต้องเปลี่ยนยารักษาเอชไอวีไปใช้ยาที่มีผลต่อตับน้อยลง ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา
เช็คกับหมอก่อนใช้ยาสมุนไพร เช่น St Johns Wort เพราะอาจมีปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์เมื่อใช้ร่วมกับยาที่กินอยู่
ทั้งตับอักเสบซีและเอชไอวีสามารถรักษาได้โดยใช้ยากลุ่มที่เรียกว่า Protease Inhibitor แต่ยากลุ่มนี้อาจทำให้การเล่นยา เช่น ไอซ์ MDMA และ โคเคนมีอันตรายยิ่งขึ้นมาก เพราะยากลุ่มนี้มีผลต่อตับและไต ทำให้สารอื่นไม่ถูกขับออกจากร่างกายตามปกติ จึงสะสมอยู่ในร่างกายจนถึงระดับที่สูงเป็นอันตราย
แพทย์ของเราทุกคนใจกว้าง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลที่จะปรึกษากับแพทย์ของเราเกี่ยวกับการปาร์ตี้ เล่นยาหรือไฮ เพื่อจะได้หาแผนการรักษาที่ดีที่สุด โดยคำนึงถึงสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคุณ
ข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อ่านได้ที่หน้านี้
วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบซีใหม่ ที่เรียกว่า DAAs (direct acting antivirals) นั้น มีใช้รักษามาตั้งแต่ต้นปี 2016 ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่