ตุ้งติ้งสุดติ่ง: เยาวชน LGBT ผู้ร่วมแกนนำขบวนประชาธิปไตยไทย

Written by:

Paisarn Likhitpreechakul

Paisarn Likhitpreechakul

Share:

Share on facebook
Share on twitter
Share on whatsapp
Share on linkedin
Share on telegram

ADVERTISMENT

ถึงจะเคยถูกหัวเราะเยาะและบุลลี่ในอดีต แต่วันนี้เยาวชนไทยสีรุ้งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการนำขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย กลับคืนสู่ประเทศไทย โดยในเวทีประท้วงที่นำโดยนักศึกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ผ่านมา พิธีกรคนหนึ่งแต่งหญิงขึ้นเวทีหันเข้าหาธงสีรุ้งขนาดใหญ่ที่โบกสะบัดอย่างภาคภูมิอยู่กลางผู้ประท้วงกว่า 20,000 คน

แร็พเตอร์ (แต่งหญิง) และแกนนำประท้วงชูสามนิ้วปิดเวทีประท้วงเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม (เครดิตภาพ: Prachatai.com)

ขบวนการเคลื่อนไหวความหลากหลายทางเพศของไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในปี 2549 เมื่อเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ในกรณีที่กระทรวงกลาโหมเขียนระบุในใบผ่านการเกณฑ์ทหาร ส.ด. 43 ของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารที่เป็นหญิงข้ามเพศว่าเป็น “โรคจิตถาวร” และศาลมีคำสั่งตัดสินให้กระทรวงกลาโหมแก้ไขในห้าปีต่อมา

ในปี 2552 เกิดเหตุการณ์เสาร์ซาวเอ็ด เมื่อม็อบการเมืองกลุ่มหนึ่งทำปิดล้อมและขู่ทำร้ายผู้เข้าร่วมเดินขบวนรณรงค์เชียงใหม่เกย์ไพรด์และต่อต้านเอดส์ หลังจากนั้นหนึ่งเดือน นักกิจกรรมความหลากหลายทางเพศและภาคีจึงได้เดินขบวนโบกธงสีรุ้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องการยอมรับและสิทธิ และลบล้างความเชื่อที่ว่าไทยเป็น “สวรรค์ของเกย์กระเทย”

เมื่อกระแสสิทธิความหลากหลายทางเพศในระดับโลกเริ่มเข้มข้นขึ้น กลุ่มนักกิจกรรมความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยจึงพุ่งความสนใจในประเด็นสมรสเท่าเทียมในปี 2554 แต่ความพยายามในการผลักดันร่างกฏหมายคู่ชีวิตให้ผ่านสภากลับประสบความล่าช้าอย่างไม่จบไม่สิ้น ด้วยแรงต้านจากอำนาจอนุรักษ์นิยมตลอดจนรัฐบาลที่มีเจตนาควบคุมประชากรกลุ่มนี้มากกว่าจะให้เสรีภาพ

รัฐประหารปี 2557 สร้างความร้าวลึกในขบวนการ LGBT ของไทย ในขณะที่นักกิจกรรมส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะผลักดันวาระของตนได้โดยไม่ถูกตรวจสอบตามกระบวนการประชาธิปไตยให้ล่าช้า แต่ยังมีนักกิจกรรมส่วนน้อยที่เหลือที่ปฏิเสธที่จะเป็นองคาพยพให้กับรัฐบาลทหาร แล้วหันไปร่วมมือกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ที่มีแนวคิดเดียวกันและพรรคการเมืองใหม่ๆ เพื่อสร้างนักกิจกรรมสีรุ้งรุ่นใหม่

นักกิจกรรมสิทธิสตรีโบกธงสายรุ้งในการประท้วงวันที่ 16 สิงหา (เครดิตภาพ: Prachatai.com)

การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีก่อน ที่ถูกมองว่าอิสระแต่ไม่เป็นธรรม แต่ก็ทำให้มีส.ส. LGBT จากพรรคอนาคนใหม่เข้าสู่สภาถึงสี่คน ช่วยให้ประเด็นการสมรสเท่าเทียมกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งพร้อมกับกระแสสังคมที่ยอมรับมากขึ้น โดยการสนับสนุนมุ่งไปที่การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ว่าด้วยการสมรส ให้เลิกระบุเพศ มากกว่าจะ สนับสนุนกฎหมายคู่ชีวิตที่รัฐบาลเสนอ เพราะเป็นกฎหมายแยกต่างหากและไม่เท่าเทียมอย่างแท้จริง

ในครั้งนี้ นักกิจกรรม LGBT รุ่นใหม่ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะในช่วงห้าปีภายใต้รัฐบาลที่ทหารกุมอำนาจ เยาวชนเหล่านี้ได้สร้างภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะในเรื่องเครื่องแบบและทรงผมนักเรียนที่มีการบังคับเข้มงวดเกินเหตุ และเดินขบวน “#เราไม่ใช่ตัวประหลาด” ไปยังกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเรียกร้องให้ยุติการเลือกปฏิบัติต่อนักเรียนที่มีความหลากหลายทางเพศ ให้จัดการเรียนการสอนเพศวิถีศึกษาที่รอบด้านไม่ล้าหลัง และแก้ไขระเบียบเครื่องแบบและทรงผมที่เคร่งครัด

#เราไม่ใช่ตัวประหลาด – นักเรียนเดินขบวนไปยังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อประท้วงระเบียบเครื่องแบบและทรงผม รวมไปถึงการเลือกปฏิบัติและตีตราต่อนักเรียน LGBT ในสถานศึกษาและตำราเรียน (เครดิตภาพ: Prachatai.com)

การยุบพรรคอนาคตใหม่ของศาลรัฐธรรมนูญด้วยข้อหาการกู้ยืมเงินผิดปกติในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้ฐานผู้สนับสนุนของพรรคซึ่งส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่แค้นเคืองเป็นอย่างมาก และเริ่มมีการประท้วงเกิดขึ้นก่อนที่เชื้อโควิด-19 จะทำให้กิจกรรมต่างๆหยุดลงทั่วประเทศ แต่สุดท้ายก็กลับมาอีกครั้งและแรงยิ่งขึ้นห้าเดือนให้หลังเมื่อสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้แล้ว

ในวันที่ 18 กรกฎาคม กลุ่มเยาวชนปลดแอก ซึ่งเป็นกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นโดยคนรุ่นใหม่และหลายคนเป็น LGBT ได้จัดการประท้วงขนาดใหญ่หลังเชื้อโควิดระบาดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่คอรัปชั่นและไร้สมรรถภาพ หนึ่งในความโกรธแค้นที่รุนแรงที่สุดของพวกเขา คือการหายตัวไปของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมด้านเอชไอวีเอดส์อายุ 38 ปี ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยและเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและถูกอุ้มหายไปจากที่พักในประเทศกัมพูชาเมื่อสองเดือนก่อน กลุ่มเยาวชนปลดแอกเรียกร้องให้รัฐบาล 1) ยุติการคุกคามประชาชนโดยเฉพาะผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล 2) ยุบสภาที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้อิทธิพลของส.ว. ที่คณะรัฐประหารเป็นผู้แต่งตั้ง และ 3) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ เขียนให้ทหารมีอำนาจได้เปรียบ

หลังจากที่โฆษกรัฐบาลคนหนึ่งเรียกการประท้วงนี้ว่าเป็นม็อบมุ้งมิ้ง ก็ยิ่งทำให้การประท้วงของนักศึกษาผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศ รวมถึงการประท้วงในวันที่ 25 กรกฎาคมซึ่งนำโดยกลุ่มเยาวชน LGBT ที่ตระหนักว่าความเท่าเทียมไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยตั้งชื่อการประท้วงว่า “ม็อบไม่มุ้งมิ้ง,,, แต่ตุ้งติ้งค่ะ คุณรัฐบาล” และใช้การทำสันทนาการและตลกชวนหัว ในการเรียกร้องสิทธิความหลากหลายทางเพศ รวมถึงตอกย้ำข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนปลดแอก

การประท้วงเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมถือเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา และถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์เมื่อประเด็นสมรสเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติในการจ้างงานต่อ LGBT ถูกยกขึ้นมาพูดต่อหน้าผู้รับฟัง จำนวนมาก คู่ไปกับประเด็นอื่นๆ เช่น การใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในอดีต การฮุบที่ดินของนายทุน อำนาจทหารในสามจังหวัดชายแดนใต้ และอื่นๆ อีกมากมาย จิตวิญญาณของการลุกขึ้นสู้นี้ได้ขยายไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยนักเรียนจำนวนมากชูสามนิ้ว ถือกระดาษเปล่า และผูกโบว์ขาวเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านเผด็จการ

ภายในระยะเวลาแค่สองเดือน นักเรียนนักศึกษาได้จุดประกายการปฏิวัติครั้งใหม่ ด้วยความกล้าหาญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความเชื่อมั่ต่อประชาธิปไตยและการไม่เลือกปฏิบัติ และปัญญาที่แหลมคมมองทะลุเห็นถึงความเชื่อมโยงไขว้กันของสิทธิมนุษยชนต่างๆ แม้หลายสิบคนจะถูกจับด้วย มาตรา 116 (และได้ประกันตัวออกมา) แต่ก็ยังมั่นที่จะต่อสู้ เพื่อทวงเอาอนาคตของตนกลับคืนมา แถมยังเรียกชุมนุมประท้วงใหญ่อีกครั้งในวันที่ 19 กันยายนนี้ จนถึงตอนนี้กระแสโต้กลับอาจจะยังไม่รุนแรง แต่ในประเทศที่เคยผ่านการรัฐประหารสำเร็จ 13 ครั้งในระยะเวลา 88 ปี ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

ภานุมาศ สิงห์พรม (เจมส์) กับ ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี (ฟอร์ด) สองผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเยาวชนปลดแอกจับมือซึ่งกันและกัน พร้อมชูสามนิ้ว หลังถูกจับและได้ประกันตัวเมื่อ 26 สิงหา ทั้งสองเคยสร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อปีก่อน ตอนที่จูบกันต่อหน้าสื่อมวลชนในอาคารรัฐสภา เมื่อนักกิจกรรมสิทธิความหลากหลายทางเพศยื่นข้อเรียกร้องการสมรสเท่าเทียมต่อรัฐสภา (เครดิตภาพ: Prachatai.com)

ถึงกระนั้น สำหรับกระบวนการต่อสู้รุ่นเยาว์ที่หยิบยืมสัญลักษณ์ต่างๆ มาใช้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่พอตตอร์ Les Misérables หรือแฮมทาโร่ มีอย่างหนึ่งที่แน่นอนที่สุดนั่น คือ เวลาจะเข้าข้างพวกเขา เหมือนอย่างที่กวีชาวชิลีได้ พาโบล เนรูด้า ได้กล่าวไว้อย่างไพเราะว่า ถึงตัดมวลดอกไม้ทิ้งเสียหมด ก็มิอาจหยุดยั้งฤดูใบไม้ผลิไม่ให้มาถึงได้

Same Author

Get The Latest Updates

Subscribe To Our Newsletter

No spam, notifications only about new articles.