ความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกัน โดยตัวของมันเองมีลักษณะพิเศษที่ไม่จำเป็นต้องตามรูปแบบของการประกอบสร้างตามวิถี ของคนรักต่างเพศ ซึ่งรวมถึงการอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งมีรากฐานเดิมมาจากเหตุผลด้านเศรษฐกิจและศาสนา
ดังนั้น ในปัจจุบันจึงมีความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ใช่คู่ผัวเดียวเมียเดียวเกิดขึ้นมากมาย และผมจะอธิบายว่าทำไมจึงเป็นเรื่องดีจากมุมมองด้านจิตวิทยา
ด้วยเหตุผลสนับสนุนความสัมพันธ์แบบเปิดจากสิ่งค้นพบในการวิจัยต่างๆ รวมถึงแสดงให้เห็นว่าเหตุผลสนับสนุนความสัมพันธ์ แบบผัวเดียวเมียเดียวนั้นมันไม่ได้หนักแน่นอย่างที่คนทั่วไปคิดกัน
ในที่นี้เราจะไม่พูดถึงประเด็นด้านจริยธรรม ว่าการไม่อยู่เป็นคู่ผัวเดียวเมียเดียวนั้นยอมรับได้ทางศีลธรรม หรือไม่ เพราะนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของบทความนี้ และผมยังคิดว่าคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เซ็กส์เป็นเรื่องที่ไม่ได้ถูกหรือผิดศึลธรรมในตัวของมันเอง เหตุผลด้านวิวัฒนาการที่ทำให้คนคิดว่าการมากคู่เป็นสิ่งผิด ก็เพราะในอดีตคนที่มีเซ็กส์กับหลายคนมักมีโอกาสติดโรคมากกว่า
ดังนั้น “ความสกปรก” ทางร่างกายนี้ค่อยๆ กลายมาเป็น “สิ่งสกปรก” ทางศึลธรรม นี่ไม่ใช่แค่เป็นอคติทางศึลธรรม แต่ในปัจจุบัน วิธีป้องกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถุงยางอนามัย PrEP และวิธีรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ทำให้ข้อกังวลทางวิวัฒนาการนี้เป็นเรื่องหลงยุค
ประเด็นก็คือ การด่าว่าสำส่อนให้อับอายนั้นเป็นเรื่องคร่ำครึและไม่มีเหตุผลอีกต่อไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คุณจะมีเซ็กส์กับคนจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
หลักฐานบอกอะไรเราบ้าง
การศึกษาชีวิตคู่ที่ทำโดย Blake Spears และ Lanz Lowen พบว่า 47% ของคู่ในกลุ่มตัวอย่างเป็นความสัมพันธ์แบบเปิด 45% เป็นความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียว และที่เหลือ 8% ไม่แน่ใจ ในการศึกษานี้พบผลเหมือนกับการศึกษาอื่นๆ คือ ความสอดคล้องกันในกลุ่มเกย์ระหว่างความยาวนานของความสัมพันธ์กับการไม่ใช่คู่แบบรักเดียวใจเดียวหร่ก็มีแนวโน้มที่จะเปิดความสัมพันธ์นั้น
ผมไม่คิดว่า มันหมายความว่าคู่ความสัมพันธ์แบบเปิดนั้นจะอยู่กันได้ยืดกว่า แต่น่าจะหมายความว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ก็มีแนวโน้มที่จะเปิดความสัมพันธ์นั้น ที่สำคัญที่สุดคือมีหลายการศึกษาที่พบว่า ความสุขทางจิตใจ ความเหนียวแน่นของความสัมพันธ์ และความพึงพอใจต่อความสัมพันธ์ ของคู่ที่เป็นแบบเปิดนั้นใกล้เคียง (หรืออาจจะมากกว่า) คู่รักเดียวใจเดียว
การศึกษาทางวิวัฒนาการยังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์นั้นสำส่อนโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศชาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด นักจิตวิทยามองเซ็กซ์ว่าเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ เป็นรองแค่การกินและการนอน เราจำเป็นต้องมีความสุขทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ การมีชีวิตทางเพศต่อเนื่องในช่วงเป็นผู้ใหญ่มีความสัมพันธ์กับความสุขมากขึ้นและสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น
ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่า ในอนาคตความสัมพันธ์ จะยิ่งขยับไปทางความสัมพันธ์แบบเปิดมากขึ้น สิ่งที่ถือว่าเป็นการเปิดโลกทางจิตวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในรุ่นนี้ก็คือการตระหนักว่าเซ็กส์ ไม่ใช่ความรัก และความรักไม่ใช่เซ็กส์ แน่นอนว่าทั้งสองอย่างอาจสัมพันธ์กันแต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถึงคุณจะรู้สึกว่ามีความพึงพอใจทางเพศมากขึ้นถ้ามีคู่มากกว่าหนึ่งคน คุณก็ยังสามารถและคู่ควรที่จะมีความสัมพันธ์ด้วยความรักคู่กันไปด้วยได้
ข้อกังวลในการเปิดความสัมพันธ์
ผมมักได้ยินข้อกังวลสองอย่างจากคนที่กลัวความสัมพันธ์แบบเปิด จึงอยากอธิบายว่าทำไมทั้งสองข้อไม่ใช่เหตุผลที่ดี
1. ถ้าเค้าไปตกหลุมรักคนอื่นที่มีเซ็กส์ด้วยล่ะ
ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ก็หมายความว่ารากฐานชีวิตคู่ของคุณนั้นไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเค้าเลิกรักคุณได้ง่ายดายขนาดนั้น ถึงยังอยู่ในความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียว วันหนึ่งเค้าก็จะทิ้งคุณไปหาคนอื่นอยู่ดี
อีกอย่างหนึ่ง รูปแบบความสัมพันธ์ที่คุณจำกัดเค้าไม่ให้ได้พบเจอกับคู่คนอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เค้าทิ้งคุณไปไม่ใช่รูปแบบความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ต่างกับเมียขี้หึงที่ไม่ยอมให้ผัวอยุ่ใกล้ผู้หญิงอื่นเลย นอกจากนี้ ความรักยังไม่ใช่ทรัพยากรที่มีจำกัด แต่เป็นปฏิกิริยาเคมี (ซึ่งไม่ได้ทำให้มันมีความสำคัญน้อยลง และไม่ได้ หมายความว่าเป็นสิ่งลวงตา) แต่ความรักสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด เราจึงสามารถรักคนได้มากคนเท่าที่เราต้องการ การที่เค้าอาจจะไปให้ความรักกับคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเค้าจะรักคุณน้อยลง
2. ผมหึง
แน่นอน ปัญหาเรื่องหึง ความหึงก็เหมือนกับความขี้งอน ถึงคุณจะขี้งอนก็ไม่ได้แปลว่าเค้ามีหน้าที่ต้องง้อให้คุณหายงอน ถ้าคุณขี้งอน เค้าก็ไม่ควรตามง้อคุณตลอดเวลา เพราะจะยิ่งทำให้คุณอาการหนักขึ้นไม่ยอมหาย
ความหึงก็เช่นเดียวกัน
เป็นหน้าที่คุณเองที่ต้องจัดการความหึงให้ได้ โดยให้เค้าคอยช่วยผ่านการสื่อสาร การควบคุมเค้าไม่ให้ตอบสนองต่อความต้องการตัวเองด้วยสิทธิในเนื้อตัวของตัวเองไม่ใช่ทางออก ผมรับประกันได้ว่า แม้แต่คู่ความสัมพันธ์แบบเปิดก็พบปัญหานี้บ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เลิกความสัมพันธ์เปิด แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือวิธีจัดการกับความหึงซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีแม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติ
ถ้างั้นไม่ควรมีความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียวใช่มั้ย
เปล่า ผมไม่ได้บอกว่าความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเหตุผลของคุณ ถ้าคุณอยู่กันแบบรักเดียวใจเดียวเพราะคิดว่าความสัมพันธ์แบบเปิดจะไม่เวิร์ค หรือเพราะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องกามารมณ์ เลยเป็นเรื่องไม่ดี ผมหวังว่าคุณจะเปลี่ยนความคิดใหม่หลังจากอ่านบทความนี้
การรักเดียวใจเดียวควรมาจากความปรารถนาที่แท้จริงที่จะมีเซ็กส์กับแฟนของคุณคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่มาจากความอยากควบคุมหรือความกลัว การตัดสินใจควรเป็นการตัดสินใจร่วมกัน โดยสื่อสารอย่างจริงใจระหว่างคุณกับเค้า คู่ที่ไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่อยากจะมี จะต้องเจอกับความยากลำบากอีกมากในการถนอมความสัมพันธ์นั้นเอาไว้ ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์ แต่รวมถึงความแตกต่างในด้านอุดมการณ์ความเชื่อ
นอกจากนี้ เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องสมยอมทั้งสองฝ่าย คุณอาจเลือกที่จะรักเดียวใจเดียวกับคู่ของคุณ แต่คุณบังคับให้เค้ารักเดียวใจเดียวกับคุณไม่ได้หรอก
บทความนี้ไม่ได้พยายามยุให้ทุกคนมีความสัมพันธ์แบบเปิด แต่อยากยุให้คุณได้ลองหาความสัมพันธ์ที่เวิร์คที่สุดสำหรับคุณและแฟนของคุณ และให้คุณได้เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ที่ปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระเท่านั้นเอง