กระทรวงแรงงานของไทยได้ประกาศต่อผู้ประกอบการว่า การบังคับให้ผู้สมัครงานต้องตรวจเอชไอวีก่อนถือเป็นการเลือกปฏิบัติ
ในแถลงการณ์ซึ่งออกในวันเอดส์โลก (1 ธันวาคม) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวว่า ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเกือบ 30% เคยถูกเลือกปฏิบัติจากนายจ้างเพราะสถานะเอชไอวี การเลือกปฏิบัตินี้เกิดขึ้นทั้งในระหว่างการสมัครเข้าทำงานและในระหว่างทำงาน
ของอังกฤษ ประเทศไทยมีอัตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทยมีผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีประมาณ 470,000 คน
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า คำประกาศนี้มุ่งกระตุ้นให้นายจ้างปฏิบัติต่อผู้สมัครงานอย่างเป็นธรรม โดยไม่ขึ้นกับสถานะเอชไอวี และกรมยังมุ่งให้ความรู้กับลูกจ้างเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีและการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อ และให้ความช่วยเหลือต่อลูกจ้างที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเพื่อให้สามารถเข้าถึงการรักษา ที่จำเป็นภายใต้โครงการประกันสังคม
อธิบดีอภิญญายังกล่าวว่า “ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วยเอชไอวี” [with HIV/Aids]ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ลูกจ้างที่มีเชื้อเอชไอวีสามารถทำงานร่วมกับลูกจ้างอื่นๆ ได้โดยไม่มีปัญหา”
ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีมีสิทธิเท่าเทียมในการทำงานภายใต้กฎหมายไทย
สุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการองค์กรมูลนิธิเพื่อสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่าองค์กรได้รับคำร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน และมีผู้ที่กล่าวว่า ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานเป็นตำรวจ เนื่องจากมีสถานะเอชไอวี
โดยผู้ร้องเรียนดังกล่าวได้ยื่นคำร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังสอบเสวนเรื่องนี้อยู่